สธ.
เผยวัคซีนที่ใช้ในไทย 19 ชนิด มีความปลอดภัยสูง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เผยระบบการเฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรค 19
ชนิดที่ใช้ในประเทศไทย พบมีความปลอดภัยสูง อาการที่เกิดขึ้นไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของวัคซีนแต่ละชนิด
โดยมาตรการเฝ้าระวังของไทย เป็น 1 ใน 4
ประเทศในภูมิภาคเซียโร่ที่องค์การอนามัยโลกรับรองมาตรฐาน ตลอดปี 2554
ไทยพบมีรายงานอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน 788 ราย ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง
เช่น ปวด บวมจุดที่ฉีด มีรายงานเสียชีวิต 14
ราย ผลการสอบสวนพบไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนแต่อย่างใด
วันนี้
(27 มิถุนายน 2555) ที่โรงแรม เอส.ดี. อเวนิว กทม. นายแพทย์ไพจิตร์
วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการคณะกรรมการสอบสวนอาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคระดับเขต
ประกอบด้วย กุมารแพทย์ พยาธิวิทยาแพทย์ นิติเวช เวชกรรมสังคม
เวชกรรมป้องกัน นักวิชาการสาธารณสุข จากโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสำนักงานป้องกันควบคุมโรค 12
เขตทั่วประเทศ
เพื่อพัฒนาทักษะการเฝ้าระวังอาการข้างเคียงหลังจากฉีดวัคซีนป้องกันโรค
เพิ่มความเชื่อมั่น
ในคุณภาพความปลอดภัยของวัคซีนแก่ประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ระบบการป้องกันโรคของไทยเข้มแข็งขึ้น
นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข
ได้มีนโยบายการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนให้กับประชาชนตั้งแต่แรกเกิดและตามช่วงอายุ
เนื่องจากการให้วัคซีนเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งในการป้องกันโรคและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
ล่าสุดการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 (Influenza H1N1)
ที่รุนแรงและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ
ก็ได้นำวัคซีนมาใช้เพื่อป้องกันการระบาด
ปัจจุบันได้พัฒนาจนถือว่ามีความปลอดภัยสูง โดยเด็กแรกเกิดถึงอายุ 12
ปีของไทย จะต้องฉีดวัคซีนพื้นฐาน 10 ชนิดป้องกันโรครวมทั้งหมด 14 ครั้ง
เช่นวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โรคคางทูม โรคหัด
โรคหัดเยอรมัน ไม่รวมวัคซีนตามฤดูกาล หรือวัคซีนอื่นเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามยังอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนแต่ละชนิดได้
ในการป้องกันปัญหาและสร้างความเชื่อมั่นประชาชนต่อวัคซีน
กระทรวงสาธารณสุข
ได้ตั้งทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วทุกจังหวัดซึ่งมีประมาณ
1,200 ทีม ติดตามความปลอดภัยวัคซีน
และตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาการภายหลังได้รับวัคซีนระดับเขตอีก 18 เขต
เพื่อกำกับติดตามความปลอดภัยด้านวัคซีน และการให้บริการที่ปลอดภัย
ประเมินสาเหตุเบื้องต้นของอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ ซึ่งระบบของไทยเป็น
1 ใน 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือเซียโร่
(SEARO) ซึ่งมี 10 ประเทศ
ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก
นายแพทย์ไพจิตร์กล่าวต่อว่า
ผลการดำเนินการเฝ้าระวังในปี 2554 สำนักระบาดวิทยา
ได้รับรายงานอาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคจาก 72 จังหวัดทั้งหมด 788
ราย โดยพบมากสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้
จากการสอบสวนผู้รับวัคซีนพบว่าส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 81
มีอาการไม่รุนแรงซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของวัคซีน อาทิ อาการปวด
บวมแดง อาการมักจะดีขึ้นและหายเป็นปกติได้ภายใน 1-3 วัน
มีรายงานเสียชีวิต 14 ราย
จากการสอบสวนของคณะกรรมการฯ พบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีนแต่อย่างใด
ส่วนอาการร้ายแรง ได้แก่ อาการชัก การแพ้รุนแรง
จะพบได้น้อยมากโดยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหลังฉีดวัคซีนภายใน
30 นาที
หรือได้รับการดูแลรักษาที่ดีอย่างทันท่วงทีเมื่อมีอาการเกิดขึ้นโดยผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของวัคซีนแต่ละชนิด
จึงสามารถกล่าวได้ว่าวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมีความปลอดภัยสูง
ทางด้านนายแพทย์ภาสกร อัครเสวี
ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า
ระบบการรายงานอาการภายหลังได้รับวัคซีน
จะทำให้เรามีข้อมูลพื้นฐานของประชากรไทยว่ามีการตอบสนองต่อวัคซีนที่ใช้ภายในประเทศอย่างไรบ้าง
สามารถเปรียบเทียบเมื่อมีการนำวัคซีนชนิดเดียวกันที่ผลิตใหม่
รุ่นการผลิต
หรือบริษัทที่ผลิตแตกต่างกันมาใช้ ทำให้บอกความผิดปกติซึ่งจะนำไปสู่การพิจารณาเลือกใช้วัคซีน การพัฒนาระบบการบริหารการให้วัคซีนให้มีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ
และพัฒนาการผลิตวัคซีนสำหรับในอนาคต
ทั้งนี้การมีระบบการรายงานและสอบสวนอย่างรวดเร็ว จะสามารถทำความเข้าใจ
กับผู้ได้รับวัคซีนและญาติ สื่อมวลชน
รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ดี
และรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนต่อวัคซีนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
ในกรณีเกิดอาการร้ายแรงหรือเสียชีวิต
**************************** 27 มิถุนายน
2555
|